ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว
ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเว-
ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว
ตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะ-
วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้ว
นุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ
แก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟัง
ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ
แล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธคามินี ปฏิ-
วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ,
ปฏิปทาอริยสัจจ์นี้นั้นแล ควรให้เจริญ,
*ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว
ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ
ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว
เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ
วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้ว
ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง
แก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟัง
อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา
แล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธคามินี ปฏิ-
อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ,
ปทาอริยสัจจ์นี้นั้นแล อันเราเจริญแล้ว,
*ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปัญญาอันรู้เห็นตาม
อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ
เป็นจริงแล้วอย่างไร ในอริยสัจจ์ ๔ เหล่านี้
เอวันติปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง
ของเรา ซึ่งมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้
ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง
ยังไม่เป็นของบริสุทธิ์หมดจดด้วยดีแก่เรา
นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ,
เพียงใดแล้ว,
*เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้ยืนยันตนว่าเป็น
โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก
ผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งปัญญาเครื่องตรัสรู้
สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ
ชอบ ไม่มีความตรัสรู้อื่นจะยิ่งกว่าในโลก
สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง
เป็นไปกับด้วยเทพยดา มาร พรหม ในหมู่
สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ
สัตว์ ทั้งสมณพราหมณ์ เทพยดา มนุษยย์
ปัจจัญญาสิง,
ไม่ได้เพียงนั้น,
ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาาย ก็เมื่อใดแลปัญญาอัน
จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริ-
รู้เห็นตามเป็นจริงอย่างไรในอริยสัจจ์ ๔
วัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง
เหล่านี้ ของเราซึ่งมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒
ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ,
อย่างนี้หมดจดดีแล้ว
อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก
เมื่อนั้น เราจึงได้ยืนยันว่าเป็นผู้ตรัสรู้
โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก
พร้อมเฉพาะ ซึ่งปัญญา เครื่องตรัสรู้ชอบ
สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ
ไม่มีความตรัสรู้อื่นยิ่งกว่าในโลก เป็นไปกับ
สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง
ด้วยเทพยดา มาร พรหม ในหมู่สัตว์ ทั้ง
สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว
ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเว-
ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว
ตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะ-
วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้ว
นุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ
แก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟัง
ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ
แล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธคามินี ปฏิ-
วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ,
ปฏิปทาอริยสัจจ์นี้นั้นแล ควรให้เจริญ,
*ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว
ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ
ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว
เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ
วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้ว
ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง
แก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟัง
อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา
แล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธคามินี ปฏิ-
อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ,
ปทาอริยสัจจ์นี้นั้นแล อันเราเจริญแล้ว,
*ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปัญญาอันรู้เห็นตาม
อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ
เป็นจริงแล้วอย่างไร ในอริยสัจจ์ ๔ เหล่านี้
เอวันติปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง
ของเรา ซึ่งมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้
ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง
ยังไม่เป็นของบริสุทธิ์หมดจดด้วยดีแก่เรา
นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ,
เพียงใดแล้ว,
*เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้ยืนยันตนว่าเป็น
โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก
ผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งปัญญาเครื่องตรัสรู้
สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ
ชอบ ไม่มีความตรัสรู้อื่นจะยิ่งกว่าในโลก
สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง
เป็นไปกับด้วยเทพยดา มาร พรหม ในหมู่
สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ
สัตว์ ทั้งสมณพราหมณ์ เทพยดา มนุษยย์
ปัจจัญญาสิง,
ไม่ได้เพียงนั้น,
ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาาย ก็เมื่อใดแลปัญญาอัน
จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริ-
รู้เห็นตามเป็นจริงอย่างไรในอริยสัจจ์ ๔
วัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง
เหล่านี้ ของเราซึ่งมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒
ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ,
อย่างนี้หมดจดดีแล้ว
อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก
เมื่อนั้น เราจึงได้ยืนยันว่าเป็นผู้ตรัสรู้
โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก
พร้อมเฉพาะ ซึ่งปัญญา เครื่องตรัสรู้ชอบ
สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ
ไม่มีความตรัสรู้อื่นยิ่งกว่าในโลก เป็นไปกับ
สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง
ด้วยเทพยดา มาร พรหม ในหมู่สัตว์ ทั้ง
สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง,
สมณพราหมณ์ เทพยดา มนุษย์,
ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ
ก็แล ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา,
อะกุปปา เม วิมุตติ อายะมันติมา
ว่าความพ้นพิเศษของเราไม่กลับกำเริบ ชาติ
ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ,
นี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีภพอีก,
อิทะมะโวจะ ภะคะวา,
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสธรรมปริยายนี้แล้ว,
อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิกขู,
ภิกษุปัญจวัคคีก็มีใจยินดี,
ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง,
เพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า,
อิมัสมิญจะ ปะนะ
ก็แล เมื่อเวยยากรณ์นี้ อันพระผู้มีพระภาค-
เวยยากะระณัสมิง ภัญญะมาเน,
เจ้าตรัสอยู่,
อายัสสะมะโต โกณฑัญญัสสะ วิระชัง
จักษุในธรรม อันปราศจากธุลีปราศจากมล-
วิตะมะลัง ธัมมะจักขุง อุทะปาทิ,
ทินได้เกิดขึ้นแล้วแก่พระผู้มีอายุโกณฑัญญะ,
ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง
ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีอันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
นิโรธะธัมมันติ,
สิ่งทั้งปวงนั้น มีอันดับไปเป็นธรรมดา,
ปะวัตติเต จะ ภะคะวะตา
ก็ครั้นเมื่อธรรมจักร อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ธัมมะจักเก,
ให้เป็นไปแล้ว,
ภุมมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง,
เหล่าภุมมเทวดา ก็ยังเสียงให้บันลือลั่นว่า,
เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง
นั่นจักร คือ ธรรม ไม่มีจักรอื่นสู้ได้ อันพระ
อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง
ผู้มีพระภาคเจ้าให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนะ
ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง
มฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณาสี อันสมณ-
อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา
พราหมณ์ เทพยดา มาร พรหม และใคร ๆ
(ยังมีต่ออีก)
No comments:
Post a Comment
Note: only a member of this blog may post a comment.