ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย |
ชีวิตคนเราในแต่ละวันส่วนใหญ่มักจะเป็นไปในอกุศล เพราะเหตุว่าสติไม่เกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรม ที่กำลังปรากฎขณะนี้ตามความเป็นจริง ทางตา ทางหู ทางาจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ เมื่อสติไม่เกิดขึ้นระลึกขณะเห็น ขณะได้ยิน ขณะได้กลิ่น ขณะลิ้มรส ขณะกระทบสัมผัสและขณะนึกคิด จิตก็จะเกิดความยินดีพอใจในอารมณ์ที่ปรากฎในขณะนั้น ถ้าเป็นอารมณ์ที่น่ายินดีพอใจ ก็อยากจะได้ (โลภ) ถ้าเป็นอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาก็เกิดขุ่นเคืองใจ ไม่แช่มชื่น (โทสะ)
ทำอย่างไรสติจึงจะเกิด ?
อยู่ดี ๆ สติเกิดเองไม่ได้ เพราะเหตุว่าสติเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนที่จะบังคับให้เกิดได้ตามต้องการ ต้องฟังธรรมเกี่ยวกับสติปัฎฐาน อบรมเจริญสติอยู่เนือง ๆ สติเป็นเจตสิกธรรมเกิดกับกุศลจิต ขณะใดจิตไปในเรื่องการให้ทาน คิดในเรื่องศีล คิดไปในเรื่องของความสงบจิตและการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ขณะนั้นเป็นกุศลจิต แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว ทุกท่านก็คงจะไม่ค่อยได้นึกคิดถึงเรื่อง ทาน ศีล สมาธิในวชีวิตประจำวันอยู่บ่อย ๆ เพื่อที่จะสมกุศลจิต เพราะมัวแต่นึกคิดถึงเรื่องทางโลก
แต่ก็ยังมีวิธีสร้างกุศลจิต ที่สามารถกระทำได้โดยไม่ยากนัก ซึ่งสามารถกระทำได้อย่างสม่ำเสมอด้วย และคิดว่าบางท่านก็คงกระทำอยู่แล้ว การไหว้พระสวดมนต์เป็นกุศลจิต เพราะว่าขณะที่สวด จิตสงบจากอกุศลทั้งปวง ขณะนั้นมีศีลบริสุทธิ์ สติเกิดขึ้นระลึกรู้ทุกขณะที่จิตไหลไปตามอารมณ์ต่าง ๆ ที่
ปรากฎทางทวารทั้ง ๖
การสวดมนเป็นเวลานาน ๆ ทำให้จิตสงบตั้งมั่น เพราะเหตุว่าขณะนั้นจิตเพ่งอยู่ในอารมณ์เดียว ถ้าสติสัมปชัญญะเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรม ที่กำลังปรากฎทางทวารต่าง ๆ ตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ไม่ใช่เรา เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิด เพราะว่ามีเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา นี่ก็เป็นสัมมาสมาธิ เป็นฝ่ายกุศลจิต
สำหรับท่านที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้บำเพ็ญกุศลกรรมใหญ่ ๆ ที่ต้องใช้ปัจจัยด้วย ก็สะสมบุญด้วยการไหว้พระสวดมนต์เป็นประจำอยู่ที่บ้านก็ได้ บุญกุศลที่ทำนี้ไม่หายไปไหนค่ะ เมื่อกุศลมีกำลังมาก ก็จะส่งผลให้ท่านพบกับชีวิตใหม่ ที่มีธรรมอันประเสริฐเป็นที่พึ่ง และยังส่งผลถึงชาติหน้าหรือชาติต่อ ๆ ไปได้อีกด้วย ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย.
ขออุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านและขออุทิศกุศลแก่สรรพสัตว์
No comments:
Post a Comment
Note: only a member of this blog may post a comment.